วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558

ตำนานเมืองฟ้าแดดสงยาง

         

         กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเมืองเมืองหนึ่งชื่อ “เมืองฟ้าแดดสงยาง” ผู้คนในบ้านเมืองนี้สืบเชื้อสายมาจากเมืองฟ้าเมืองแถนแดนไกล
          เรื่องราวกล่าวขานมีความว่า...
          เมืองฟ้าแดด เป็นเมืองที่มีความกว้างใหญ่และมีความอุดมสมบูรณ์พร้อมผู้คนในบ้านเมืองมีความอยู่เย็นเป็นสุข มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
          เจ้าเมือง ลูกเจ้าลูกขุน พร้อมฝูงทวยไท้ทั้งสิ้นทั้งหลาย ผู้ชายผู้หญิงมักถือศีล โอนทาน บ้านเมืองนี้จึงเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ผู้ปกครองเมืองคือ “พญาฟ้าแดด” มีพระมเหสีชื่อ “นางจันทาเทวี” หรือ “นางเขียวค่อม” ทั้งสองพระองค์มีพระธิดาแสนงามสุดสะอางเลิศล้ำนารี สมเป็นลูกหลานชาวเมืองแมนฟ้ามีชื่อว่า “พระธิดาฟ้าหยาด” หรือ “นางฟ้าหยาด”
          พระธิดาฟ้าหยาด สกุลฟ้ามิ่งเมืองแถน เป็นผู้ที่มีสิริโฉมงดงามมาก เป็นที่หวงแหนของพระราชบิดาและพระราชมารดายิ่งนัก เล่าลือกันว่าพระนางรูปร่างสวยงาม ผิวขาว แขนเรียวคิ้วโก่งดั่งคันธนู คอปล้อง นมตั้งพองาม ผมดำเลื่อมสลวย เนื้ออ่อนละมุนเหมือนสำลี สวยงามดั่งสวรรค์สร้าง ดั่งเทพธิดาหยาดจากฟ้ามาเกิดเลยทีเดียว
          พญาฟ้าแดดให้สร้างปราสาทเสาเดียวไว้กลางน้ำ ใช้หินศิลาแลงในการก่อสร้าง มีการขุดสระไว้รอบเมือง มีสระน้ำไว้ให้พระธิดาสรงสนาน และมีการสร้างคูค่าย เชิงเนิน และหอรบอย่างแข็งขันด้วย
          พญาฟ้าแดดทรงหวงพระธิดาฟ้าหยาดราวกับจงอางหวงไข่ ทรงมีพระราชโองการห้ามไม่ให้ผู้ชายคนใดเข้าไปในเขตอุทยานและปราสาทของนางอย่างเด็ดขาด ใครฝ่าฝืนมีโทษประหาร
          เมืองฟ้าแดดมีเมืองลูกหลวงคือ “เมืองสงยาง” มีต้นยางสูงใหญ่ และสวยงามอยู่รายรอบ บางทีก็เรียก “เมืองสูงยาง” โดยมอบให้พระอนุชาชื่อ “พญาอิสูรย์” หรือ “เจ้าฟ้าระงึม” เป็นผู้ปกครอง เมืองทั้งสองอยู่ไม่ห่างกันนักสามารถช่วยเหลือและป้องกันอริราชศัตรูที่จะมารุกรานได้อย่างสะดวก ผู้คนเลยนิยมเรียกรวมกัน “เป็นเมืองฟ้าแดดสงยาง” หรือ “เมืองฟ้าแดดสูงยาง”
          เมื่อพระธิดาฟ้าหยาดเติบโตเป็นสาววัยประมาณ 15 ปี ก็รู้สึกในพระทัยแปลก ๆ และมีนิมิตว่ามีงูใหญ่มารัด พระนางตกใจกลัว สะดุ้งตื่น และได้เล่าความฝันให้พระพี่เลี้ยงฟัง พระพี่เลี้ยงบอกว่าโบราณว่าฝันว่างูรัดจะเจอเนื้อคู่ พระนางเขินอาย แต่จะเจอชายเนื้อคู่ได้อย่างไร เพราะพระบิดาและพระมารดาไม่อนุญาตให้ชายใดได้มีโอกาสพบกับพระนางเลย
          พระพี่เลี้ยงกับพระธิดาจึงตกลงใจว่าจะกระทำ “พิธีเสี่ยงสร้อย” หรือ “เสี่ยงมาลัย” หาเนื้อคู่ โดยให้พระธิดาร้อยดอกไม้เป็นพวงสร้อยมาลัยแล้วตั้งสัจอธิษฐาน หากชายใดเป็นเนื้อคู่ของพระนางก็ให้ได้พบเจอและเก็บสร้อยมาลัยนี้ได้ซึ่งพระนางก็ได้ตั้งใจร้อยมาลัยอย่างพิถีพิถัน ด้วยดอกไม้ต่าง ๆ หลากหลายสีสัน แล้วนำพวงมาลัยไปวางในอุทยานเป็นการเสี่ยงทาย โดยไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากนัก เพราะคิดว่าไม่มีชายใดกล้าเข้ามาในเขตหวงห้าม
          ไกลออกไปจากเมือง “ฟ้าแดด” ยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นเมืองต่างกลุ่มต่างความเชื่อจากเมืองฟ้าแดด มีชื่อว่า “เมืองเชียงโสม” มี “ท้าวจันทราช” หรือ “พญาจันทราช” เป็นเจ้าเมือง มีพระบิดาชื่อ “ท้าวเชียงคำ” และพระมารดาชื่อ “พระนางสุวรรณเทวี” พระองค์มี 4 ศรีพี่น้อง องค์โตชื่อ “เชียงสา” องค์รองชื่อ “เชียงสอง” องค์ที่สาม (พระองค์เอง)ชื่อ “เชียงสร้อย” และองค์สุดท้องชื่อ “เชียงเชิด” ทั้งสี่พี่น้องรักใคร่ช่วยเหลือเกื้อกูลดูแลกันอย่างดีมาก
          องค์โตเป็นเจ้าเมืองเชียงสา คนรองเป็นเจ้าเมืองชียงสอง ส่วนเชียงสร้อยสิบทอดมรดกจากบิดาและได้รับอภิเษกเป็นเจ้าเมืองเชียงโสม พระนามว่า “ท้าวจันทราช” มีน้ององค์สุดท้องชื่อเชียงเชิดเป็นอุปราช
          ท้าวจันทราชยังไม่มีพระมเหสี มีแต่นางสนมคอยปรนนิบัติรับใช้ พระองค์ชอบศึกษาหาความรู้ ชอบการต่อสู้ และชอบล่าสัตว์ โดยเฉพาะการต่อนกต่อไก่ป่าดงทรงโปรดอย่างยิ่ง
          ครั้งหนึ่งท้าวจันทราชได้ออกล่าสัตว์และทำการต่อนกต่อไก่ป่า โดยครั้งนี้ได้มุ่งหน้าลงทางใต้จนถึงหนองเลิง พระองค์ได้ติดตามไก่ป่าที่สวยงามและมีเสียงขันที่ไพเราะมากตัวหนึ่ง แต่ติดตามอย่างไรก็จับไม่ได้ พระองค์ก็ไม่ลดละ ทรงติดตามจนกระทั่งหลงเข้าไปในเขตอุทยานของพระนางหยาดฟ้าโดยไม่รู้ตัว แทนที่พระองค์จะได้พบไก่(แต่ไก่ตัวนั้นหายไปไหน พระองค์เฝ้าค้นหาจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ) แต่พระองค์ได้เจอกับสร้อยมาลัยเสี่ยงคู่แทน พระองค์จึงหยิบมาพิจารณา เมื่อคนดูแลสวนมาพบก็สอบถามว่า ท่านเป็นชายเข้ามาในเขตหวงห้ามนี้ได้อย่างไร พระองค์อธิบายว่าไม่ได้ตั้งใจจะล่วงล้ำเข้ามาในเขตหวงห้าม เพียงแต่ติดตามไก่ป่ามาถึงที่นี้เท่านั้น คนรับใช้ของพระนางหยาดฟ้าทราบดังนั้นจึงรีบเข้าเฝ้าพระธิดาหยาดฟ้า พระนางตกใจและรู้สึกแปลกประหลาดมาก จึงให้นำท้าวจันทราชมาพบที่ปราสาทของพระนาง
          และแล้วเมื่อทั้งคู่ได้พบกัน ต่างก็ตกตะลึง เหมือนโลกหยุดหมุน ทั้งสองพระองค์ต่างรู้สึกรักใคร่ผูกพันในกันและกันยิ่งนัก พระธิดาหยาดฟ้าสวยงามต้องใจท้าวจันทราชยิ่งนัก พระองค์ไม่เคยเห็นใครที่งามเพียบพร้อมอย่างนี้มาก่อน พระธิดาฟ้าหยาดก็ไม่เคยเห็นชายใด ที่จะสง่าถูกใจเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน ทำให้พระนางนึกถึงความฝัน พระนางก็ยิ่งตื่นเต้นและหวั่นไหวพระทัยยากที่จะบรรยาย ทั้งคู่มีความรักและความคุ้นเคยราวกับคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่ต้องการและเฝ้าติดตามหามาทั้งชีวิต
          ทั้งคู่ทักทายปราศรัยกันถามไถ่ความเป็นมาของกันและกันตามมารยาท ฝ่ายพญาจันทราชนั้นหลงรักพระนางจนไม่ยอมกลับเมือง พระองค์ได้ตั้งค่ายอยู่ใกล้ ๆ อุทยาน แล้วตอนกลางคืนพระองค์ก็แอบขึ้นไปบนปราสาท เพื่อไปหานางผู้เป็นที่รัก และแล้วทั้งสองพระองค์ก็ได้เป็นสามีภรรยาสมใจปรารถนาทั้งสองพระองค์อยู่ด้วยกันนานวัน โดยปกปิดเป็นความลับ และบริวารทั้งหลายของพระธิดาต่างก็เป็นใจให้ทั้งคู่สมหวังในรักที่รอคอย
          และเมื่อนานวัน กลัวว่าความลับจะรั่วไหลและเกรงจะทำให้พระนางจะเดือดร้อน ท้าวจันทราชจึงจำใจกลับบ้านเมืองเพื่อว่าราชการที่ละทิ้งมาหลายวัน โดยสัญญาว่าจะส่งอำมาตย์ผู้ใหญ่มาสู่ขอพระนางไปเป็นมเหสี ร่วมกันปกครองเมืองเชียงโสมกับพระองค์อย่างแน่นอน
          แต่ความลับได้รั่วไหล เพราะคนรับใช้พระนางคนหนึ่งแค้นเคืองด้วยนางแอบรักท้าวจันทราช แต่ท้าวจันทราชไม่เหลียวมองจึงนำเรื่องของทั้งสองไปทูลให้พญาฟ้าแดดทรงทราบ พระองค์ทรงกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟ พอทราบว่ากษัตริย์หนุ่มจากเมืองเชียงโสมกล้าขัดพระราชโองการก็เดือดดาลยิ่งนัก บังอาจกระทำหยามน้ำใจพระองค์เช่นนี้
          เมื่อพญาจันทราชเดินทางกลับถึงเมืองเชียงโสมก็รีบมอบหมายให้อำมาตย์คู่ใจคือ “ขุนเส็ง” และ “ขุนคาน” นำเครื่องราชบรรณาการมาสู่ขอนางฟ้าหยาดทันที
          ครั้นเมื่ออำมาตย์และเถ้าแก่จากเมืองเชียงโสมขอเข้าเฝ้า เพื่อมอบเครื่องราชบรรณาการและสู่ขอพระธิดาฟ้าหยาดไปเป็นอัครมเหสีของท้าวจันทราชแห่งเมืองเชียงโสม เพื่อความเป็นปฐพีเดียวกันต่อไป
          ส่วนพญาฟ้าแดดเมื่อได้พบเหล่าอำมาตย์และเถ้าแก่จากเมืองเชียงโสมก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทรงตรัสว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ยอมยกพระธิดาให้ท้าวจันทราชอย่างเด็ดขาด และไล่ตะเพิดตั้งแต่ยังไม่ได้เจรจาความใด ๆ ต่อกันเลย
          ท้าวจันทราชกษัตริย์หนุ่มทรงผิดหวังและเสียพระทัยยิ่งนัก ทรงทุกข์ใจอย่างมาก ไม่เป็นอันว่าราชการ ทรงครุ่นคิดถึงแต่พระธิดาฟ้าหยาดทุกคืนวันพระองค์ไม่มีทางออก จึงไปปรึกษาอำมาตย์และเหล่าทหารเมืองเชียงโสมว่าทำอย่างไรจึงจะได้พระนางมาเป็นมเหสี ที่ประชุมตกลงเห็นว่าให้ยกกองทัพไปกดดันเพื่อเจรจาอีกที หากไม่ยอมก็ต้องรบแย่งชิงพระธิดาฟ้าหยาดมาให้ได้
          พระองค์ไม่มีทางเลือก พระองค์ไม่คิดจะย่ำยีเอาบ้านเมืองของใคร พระองค์ต้องการพระนางฟ้าหยาดมาเป็นพระมเหสีคู่พระทัยก็เท่านั้น พระองค์จึงได้ปรึกษาขอความร่วมมือจากพระเชษฐาทั้งสอง ขณะนี้ความรักเข้าตาซะแล้ว การพิจารณาและการตัดสินพระทัยใดๆ ไม่แจ่มใส พระองค์ไร้กลยุทธ์และแผนการ คิดถึงแต่หน้าคนรักเท่านั้น
          ผิดกับทางเมืองฟ้าแดด ซึ่งพญาฟ้าแดดกษัตริย์ชาตินักรบ และนักวางแผนได้คาดการณ์ว่าจะมีทัพจากเมืองเชียงโสมบุกมา “ทำศึกชิงนาง” อย่างแน่นอน จึงได้วางกลศึกและทำการเตรียมการอย่างดี อีกทั้งได้เรียกพระอนุชาฟ้าระงึม ตลอดจนกองทัพจากเมืองสูงยางมาช่วยรบอีกด้วย
          เมื่อสองทัพเผชิญหน้ากัน ท้าวจันทราชขอเจรจาและยอมรับผิดที่บุกเข้าไปในเขตหวงห้าม อันเป็นการขัดพระราชโองการ แต่เพราะพระองค์มาจากเมืองอื่นไม่รู้มาก่อนว่าเป็นเขตหวงห้าม การพลัดหลงเข้าไปนี้ก็เป็นการไปโดยไม่เจตนา
          แผนการของพญาฟ้าแดดและเจ้าฟ้าระงึมพระอนุชาแม่ทัพของเมืองฟ้าแดดนั้นหลอกว่าจะยอมเจรจา แล้วหลอกจับตัวท้าวจันทราชไปคุมขังเพื่อพิจารณาโทษต่อไป ซึ่งท้าวจันทราชไม่ต้องการให้ผู้อื่นเดือดร้อนและล้มตายเพราะพระองค์จึงขอเจรจาโดยสันติ พระองค์และทหารองครักษ์คู่พระทัยสองคนจะเข้าไปเจรจาในเมืองฟ้าแดด ครั้นตกลงตามนั้น พระองค์และทหารองครักษ์จึงออกหน้าทัพแล้วเข้าไปในกองทัพเมืองฟ้าแดด เมื่อพระองค์เข้าไปถึงในเขตพระนครทหารเมืองฟ้าแดดก็ปิดประตูเมือง และแทนที่จะมีการเจรจา กลับสั่งให้ทหารรุมจับพระองค์เพื่อกักขังรอลงอาญาโทษต่อไป
          เมื่อพระองค์รู้อย่างนั้นก็ไม่ยอมและขอสู้ตาย พระองค์จึงถูกทหารเมืองฟ้าแดดรุมทำร้าย พระองค์สู้สุดฤทธิ์ไม่ยอมให้จับกุม และแล้วพระองค์ก็ถึงแก่สวรรคตพร้อมกับทหารองครักษ์ทั้งสอง ในเมืองฟ้าแดดของคนรักพระองค์นั้นเอง
          ฝ่ายกองทัพเมืองเชียงโสมที่อยู่ข้างนอกเมืองฟ้าแดด พอรู้ข่าวก็สลดใจและเสียใจยิ่งนักไม่มีจิตใจที่จะรบต่อไป จึงยกทัพกลับเมืองของตน แล้วก็รีบไปแจ้งข่าวให้เมืองเชียงสาและเมืองเชียงสองผู้เป็นพระเชษฐาของท้าวจันทราชทราบในทันที
          ฝ่ายพระธิดาฟ้าหยาดพอทราบว่าท้าวจันทราชโดนกลศึก พระนางก็ทรงโศกเศร้าพระทัยยิ่งนัก ทรงรักและสงสารคนรักที่ต้องจบชะตากรรมเพราะรักพระนางโดยไม่คำนึงถึงชีวิตและกลศึกใด ๆ เลย พระนางตรอมใจไม่ทรงอาลัยในชีวิตและทรัพย์สมบัติใด ๆ อีกต่อไป หากไม่มีคนรักพระนางก็อยู่ในโลกนี้อีกต่อไปไม่ได้ พระธิดาฟ้าหยาดไม่ทรงเสวยน้ำและพระกระยาหารใด ๆ แล้วพระนางก็ตรอมใจตายตามคนรักของพระนางไป บนปราสาทเสาเดียวในอุทยาน
          ส่วนพญาฟ้าแดดและพระนางจันทาเทวีทราบเรื่องและความเป็นไปทั้งหมดก็โศกเศร้าและสะเทือนใจยิ่งนัก พอได้สติพระองค์จึงได้ตระหนักรู้ว่า สิ่งที่พระองค์ทำลงไปเป็นการทำไปด้วยการไม่รู้ทันความคิดปรุงแต่งด้วยความโลภ ความโกรธ และความหลง เหตุเพราะพระองค์ทรงขาดสติ
          เมื่อมีสติระลึกได้ พระองค์จึงคิดไถ่บาปด้วยการทำบุญสร้างพระพุทธรูปและสถูปเจดีย์ ตัดสินพระทัยให้สร้างหีบศพใหญ่อย่างดีและสวยงามแล้วนำศพของท้าวจันทราชและพระนางฟ้าหยาดมาบรรจุด้วยกัน หล่อพระพุทธรูปด้วยทองคำและได้บอกบุญชาวเมืองฟ้าแดดและชาวเมืองสูงยางให้หล่อพระพุทธรูปตามศรัทธาจะเป็นทองคำ เป็นเงิน เป็นดิน เป็นอิฐ เป็นหิน และเป็นปูนก็ได้ตามศรัทธาให้ได้พระพุทธรูป 84,000 องค์ เพื่อบรรจุในสถูปเจดีย์ที่สร้างหุ้มหลุมฝังศพของทั้งคู่ เพื่อสร้างบุญกุศลอุทิศให้กับทั้งคู่และชดใช้กรรมที่ทรงได้กระทำกับทั้งสองพระองค์ อีกทั้งยังสร้างไว้เป็นพุทธบูชาสืบทอดพระพุทะศาสนาให้ยาวนานสืบไป
          แต่ความเดือดร้อนวุ่นวายใหญ่หลังจากนั้นกำลังจะเกิดขึ้นกับเมืองฟ้าแดดสูงยาง เมื่อท้าวเชียงเชิดหรือพญาธรรมซึ่งเป็นพระอนุชาองค์สุดท้อง นำข่าวพญาจันทราชโดนกลศึกและถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตายในเมืองฟ้าแดดไปแจ้งให้กับพระเชษฐาทั้งสอง คือท้าวเชียงสาและท้าวเชียงสองทราบ ทั้งสองพระองค์ทรงกริ้วและเดือดดาลในพระทัยยิ่งนัก ลั่นวาจาประกาศว่าจะถล่มเมืองฟ้าแดดให้พินาศย่อยยับสิ้นซาก สองกษัตริย์ชาตินักรบถึงแม้จะพิโรธจัดเพราะรักพระอนุชาแต่อดทนและข่มพระทัยไว้ก่อนไม่บุ่มบ่ามให้เสียการใหญ่จึงได้ปรึกษาร่วมกันวางแผนทำสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างมีกลยุทธ์และรอบคอบ ทั้งนี้เป็นการผนึกกำลังทั้งจากกองทัพเมืองเมืองเชียงสา เมืองเชียงสอง และกองทัพจากเมืองเชียงโสม ซึ่งบัดนี้ท้าวเชียงเชิดหรือพญาธรรมได้ปกครองบ้านเมืองแทน
          ทั้งสามพี่น้องยังได้ขอความร่วมมือและเกณฑ์ไพร่พลจากเมืองพันธมิตรคือ เมืองเชียงเครือ เมืองท่างาม เมืองน้ำดอกไม้ เมืองสาบุตร และเมืองกุดดอกรวมกันเป็นกองทัพใหญ่ มีความพร้อมในการทำศึกสงครามมาก เมื่อได้เพลาและฤกษ์ทำศึกสงครามก็เคลื่อนพลมุ่งสู่เมืองฟ้าแดดสูงยางพร้อมกันทันที
          ฝ่ายเมืองฟ้าแดดสูงยางที่กำลังอยู่ในช่วงไว้อาลัยหลังจัดงานพิธีศพและยังเศร้าโสกอยู่นั้น ทหารก็มีทั้งสลดใจและชะล่าใจในกลศึกที่เอาชนะสงครามและเอาชีวิตท้าวจันทราชได้ในคราวก่อน ทำให้ความพร้อมในการรบด้อยกว่ากองทัพที่กำลังยกมาประชิดอยู่ในขณะนี้ ทั้ง ๆ ที่ยกทัพมาไกล แต่เพื่อแก้แค้นให้เจ้านานน้อยผู้จากไปอย่างน่าสงสาร จึงมีความฮึกเหิมพร้อมรบอย่างยิ่ง และแล้วสงครามก็ระเบิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นศึกใหญ่ที่สุดในยุคโน้นเลยก็ว่าได้
          กองทัพเชียงสา เชียงสอง และพันธมิตรบุกเข้าบดขยี้เมืองฟ้าแดดและเมืองเชียงสูงพร้อมกันทุกทิศทางอย่างบ้าระห่ำ ด้วยพระราชโองการทัพแห่งท้าวเชียงสาและท้าวเชียงสองที่ประกาศว่า จะไม่ไว้ชีวิตคนที่ทำร้ายพระอนุชาของพระองค์และจะทำลายบ้านเมืองที่ใจร้ายทำลายความรักของทั้งสองให้สิ้นซากให้จงได้
          เมือง “ฟ้าแดดสูงยาง” เป็นเมืองที่กว้างใหญ่ร่มเย็นเป็นสุขด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงเป็นสถานที่ประดิษฐานของสิ่งศักดิ์สิทธ์ในพระพุทธศาสนาเมืองทั้งเมืองจึงเต็มไปด้วยใบเสมาหินทราย จำหลักภาพเรื่องชาดกและพุทธประวัติจำนวนมาก เมื่อชาวเมืองตระหนักรู้ว่า สงครามในครั้งนี้พวกเขาต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน พระสงฆ์ผู้ใหญ่ของเมืองได้ให้สติกับชาวเมืองว่า...
          “แม้จะมีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้นในชีวิตหรือบ้านเมืองก็ตาม ขอให้วางใจให้เป็นสุขสงบ ให้คิดใคร่ครวญไตร่ตรองให้เข้าใจด้วยใจ แล้วพิจารณาว่าอะไรที่สามารถทำได้แล้วลงมือจัดการทำสิ่งที่ควรกระทำในสิ่งที่เห็นว่ามีความสำคัญที่สุด มีคุณค่า มีความหมายมากที่สุดให้ปรากฏผลทันเวลา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม จงลงมือทำสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นให้ออกมาเป็นการกระทำก็จะเกิดผลสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยว่าใจที่อยู่ติดกับความเป็นทุกข์นั้นไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย”
          เมื่อชาวเมืองมีสติ มองเห็นความยุ่งยากหรือความเสี่ยงที่กองทัพไม่อาจรับมือกับข้าศึกได้ ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน ชาวเมืองฟ้าแดดสูงยางกลับมองเห็นโอกาสและใช้ความคิดสร้างสรรค์ประโยชน์ ในภาวะวิกฤตินั้นชาวเมืองฟ้าแดดสูงยางได้ช่วยกันนำสิ่งศักดิ์สิทธ์ต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะใบเสมาหินทราย จำหลักภาพเรื่องชาดกและพุทธประวัติจำนวนมากฝังเก็บในดินไว้ให้คนรุ่นหลัง ไม่ให้ข้าศึกต่างเผ่าพันธุ์ต่างความเชื่อมาทำลาย
          ชาวเมืองฟ้าแดดสูงยางได้ตัดสินใจลงมือจัดการทำสิ่งที่ควรทำ ทำในสิ่งที่เห็นว่ามีความสำคัญ มีคุณค่า และมีความหมายมากที่สุด ให้ปรากฏผลทันตา
          การสงครามครั้งนั้น พญาฟ้าแดดได้เข้าสู้ศึกสุดฤทธิ์ แต่พระองค์ถูกฟันพระศอขาดบนคอช้างศึก ตายในสนามรบ ส่วนพญาฟ้าระงึมแห่งเมืองสูงยางก็ถูกจับและถูกประหารด้วยการตัดคอ ตายในสนามรบเช่นเดียวกัน
          ในที่สุดกองทัพและทหารเมืองฟ้าแดดสูงยางก็พ่ายแพ้เสียหายย่อยยับประชาชนล้มตาย เลือดนองแผ่นดิน บ้านเรือนวัดวาอารามพังเสียหายถูกทำลายวอดวายไปหมด ยกเว้นอยู่เพียงแห่งเดียวคือสถูปที่สร้างหุ้มพระศพของท้าวจันทราชกับพระนางฟ้าหยาด ซึ่งนอนสงบนิ่งในโลงอันเดียวกัน ที่ฝังอยู่ใต้พระสถูปเจดีย์แห่งนั้น โดยทั้งสองพระองค์เป็นพระอนุชา (น้องชาย) และ พระกนิษฐภคินี (น้องสะใภ้) ของท้าวเชียงสาและท้าวเชียงสองผู้เป็นแม่ทัพ และเป็นผู้ชนะสึกสงครามในครั้งนั้น ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนาต่าง ๆ ในเมือง โดยเฉพาะใบเสมาหินทราย จำหลักภาพเรื่องชาดกและพุทธประวัติจำนวนมากรอดพ้นจากการถูกทำลายได้ เพราะความมีสติของชาวเมืองฟ้าแดดสูงยาง
          บริเวณ “เมืองโบราณฟ้าแดดสูงยาง” ที่บ้านเสมา ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสิน นับเป็นพื้นที่ที่มีการค้นพบใบเสมาหินทราย จำหลักภาพเรื่องชาดกและพุทธประวัติมากที่สุดในประเทศไทย

          ปัจจุบันสถูปนี้ก็คือ “พระธาตุยาคู” หรือ “พระธาตุใหญ่” ที่ยังหลงเหลือไว้เป็นอนุสรณ์และเป็นพยานหลักฐานมาจนถึงทุกวันนี้เอง

3 ความคิดเห็น:

  1. ได้รับความรู้ดีๆๆ มากมายเลยคร้า

    ตอบลบ
  2. เป็นตำนานเป็นความเชื่อที่มีหลักฐานให้เห็นด้วยค่ะ

    ตอบลบ
  3. เป็นตำนานที่น่าสนใจมากค่ะ

    ตอบลบ