กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเมืองเมืองหนึ่งชื่อ “เมืองฟ้าแดดสงยาง” ผู้คนในบ้านเมืองนี้สืบเชื้อสายมาจากเมืองฟ้าเมืองแถนแดนไกล
เมืองฟ้าแดด เป็นเมืองที่มีความกว้างใหญ่และมีความอุดมสมบูรณ์พร้อมผู้คนในบ้านเมืองมีความอยู่เย็นเป็นสุข
มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
เจ้าเมือง ลูกเจ้าลูกขุน
พร้อมฝูงทวยไท้ทั้งสิ้นทั้งหลาย ผู้ชายผู้หญิงมักถือศีล โอนทาน
บ้านเมืองนี้จึงเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ผู้ปกครองเมืองคือ “พญาฟ้าแดด”
มีพระมเหสีชื่อ “นางจันทาเทวี” หรือ “นางเขียวค่อม”
ทั้งสองพระองค์มีพระธิดาแสนงามสุดสะอางเลิศล้ำนารี
สมเป็นลูกหลานชาวเมืองแมนฟ้ามีชื่อว่า “พระธิดาฟ้าหยาด” หรือ “นางฟ้าหยาด”
พระธิดาฟ้าหยาด สกุลฟ้ามิ่งเมืองแถน
เป็นผู้ที่มีสิริโฉมงดงามมาก เป็นที่หวงแหนของพระราชบิดาและพระราชมารดายิ่งนัก
เล่าลือกันว่าพระนางรูปร่างสวยงาม ผิวขาว แขนเรียวคิ้วโก่งดั่งคันธนู คอปล้อง
นมตั้งพองาม ผมดำเลื่อมสลวย เนื้ออ่อนละมุนเหมือนสำลี สวยงามดั่งสวรรค์สร้าง
ดั่งเทพธิดาหยาดจากฟ้ามาเกิดเลยทีเดียว
พญาฟ้าแดดให้สร้างปราสาทเสาเดียวไว้กลางน้ำ
ใช้หินศิลาแลงในการก่อสร้าง มีการขุดสระไว้รอบเมือง มีสระน้ำไว้ให้พระธิดาสรงสนาน
และมีการสร้างคูค่าย เชิงเนิน และหอรบอย่างแข็งขันด้วย
พญาฟ้าแดดทรงหวงพระธิดาฟ้าหยาดราวกับจงอางหวงไข่
ทรงมีพระราชโองการห้ามไม่ให้ผู้ชายคนใดเข้าไปในเขตอุทยานและปราสาทของนางอย่างเด็ดขาด
ใครฝ่าฝืนมีโทษประหาร
เมืองฟ้าแดดมีเมืองลูกหลวงคือ
“เมืองสงยาง” มีต้นยางสูงใหญ่ และสวยงามอยู่รายรอบ บางทีก็เรียก “เมืองสูงยาง”
โดยมอบให้พระอนุชาชื่อ “พญาอิสูรย์” หรือ “เจ้าฟ้าระงึม” เป็นผู้ปกครอง
เมืองทั้งสองอยู่ไม่ห่างกันนักสามารถช่วยเหลือและป้องกันอริราชศัตรูที่จะมารุกรานได้อย่างสะดวก
ผู้คนเลยนิยมเรียกรวมกัน “เป็นเมืองฟ้าแดดสงยาง” หรือ “เมืองฟ้าแดดสูงยาง”
เมื่อพระธิดาฟ้าหยาดเติบโตเป็นสาววัยประมาณ
15
ปี ก็รู้สึกในพระทัยแปลก ๆ และมีนิมิตว่ามีงูใหญ่มารัด
พระนางตกใจกลัว สะดุ้งตื่น และได้เล่าความฝันให้พระพี่เลี้ยงฟัง
พระพี่เลี้ยงบอกว่าโบราณว่าฝันว่างูรัดจะเจอเนื้อคู่ พระนางเขินอาย
แต่จะเจอชายเนื้อคู่ได้อย่างไร
เพราะพระบิดาและพระมารดาไม่อนุญาตให้ชายใดได้มีโอกาสพบกับพระนางเลย
พระพี่เลี้ยงกับพระธิดาจึงตกลงใจว่าจะกระทำ
“พิธีเสี่ยงสร้อย” หรือ “เสี่ยงมาลัย” หาเนื้อคู่
โดยให้พระธิดาร้อยดอกไม้เป็นพวงสร้อยมาลัยแล้วตั้งสัจอธิษฐาน หากชายใดเป็นเนื้อคู่ของพระนางก็ให้ได้พบเจอและเก็บสร้อยมาลัยนี้ได้ซึ่งพระนางก็ได้ตั้งใจร้อยมาลัยอย่างพิถีพิถัน
ด้วยดอกไม้ต่าง ๆ หลากหลายสีสัน แล้วนำพวงมาลัยไปวางในอุทยานเป็นการเสี่ยงทาย
โดยไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากนัก เพราะคิดว่าไม่มีชายใดกล้าเข้ามาในเขตหวงห้าม
ไกลออกไปจากเมือง “ฟ้าแดด”
ยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นเมืองต่างกลุ่มต่างความเชื่อจากเมืองฟ้าแดด
มีชื่อว่า “เมืองเชียงโสม” มี “ท้าวจันทราช” หรือ “พญาจันทราช” เป็นเจ้าเมือง
มีพระบิดาชื่อ “ท้าวเชียงคำ” และพระมารดาชื่อ “พระนางสุวรรณเทวี” พระองค์มี 4 ศรีพี่น้อง องค์โตชื่อ “เชียงสา” องค์รองชื่อ “เชียงสอง” องค์ที่สาม (พระองค์เอง)ชื่อ
“เชียงสร้อย” และองค์สุดท้องชื่อ “เชียงเชิด”
ทั้งสี่พี่น้องรักใคร่ช่วยเหลือเกื้อกูลดูแลกันอย่างดีมาก
องค์โตเป็นเจ้าเมืองเชียงสา
คนรองเป็นเจ้าเมืองชียงสอง
ส่วนเชียงสร้อยสิบทอดมรดกจากบิดาและได้รับอภิเษกเป็นเจ้าเมืองเชียงโสม พระนามว่า
“ท้าวจันทราช” มีน้ององค์สุดท้องชื่อเชียงเชิดเป็นอุปราช
ท้าวจันทราชยังไม่มีพระมเหสี
มีแต่นางสนมคอยปรนนิบัติรับใช้ พระองค์ชอบศึกษาหาความรู้ ชอบการต่อสู้
และชอบล่าสัตว์ โดยเฉพาะการต่อนกต่อไก่ป่าดงทรงโปรดอย่างยิ่ง
ครั้งหนึ่งท้าวจันทราชได้ออกล่าสัตว์และทำการต่อนกต่อไก่ป่า
โดยครั้งนี้ได้มุ่งหน้าลงทางใต้จนถึงหนองเลิง
พระองค์ได้ติดตามไก่ป่าที่สวยงามและมีเสียงขันที่ไพเราะมากตัวหนึ่ง
แต่ติดตามอย่างไรก็จับไม่ได้ พระองค์ก็ไม่ลดละ
ทรงติดตามจนกระทั่งหลงเข้าไปในเขตอุทยานของพระนางหยาดฟ้าโดยไม่รู้ตัว
แทนที่พระองค์จะได้พบไก่(แต่ไก่ตัวนั้นหายไปไหน
พระองค์เฝ้าค้นหาจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ) แต่พระองค์ได้เจอกับสร้อยมาลัยเสี่ยงคู่แทน
พระองค์จึงหยิบมาพิจารณา เมื่อคนดูแลสวนมาพบก็สอบถามว่า
ท่านเป็นชายเข้ามาในเขตหวงห้ามนี้ได้อย่างไร
พระองค์อธิบายว่าไม่ได้ตั้งใจจะล่วงล้ำเข้ามาในเขตหวงห้าม
เพียงแต่ติดตามไก่ป่ามาถึงที่นี้เท่านั้น
คนรับใช้ของพระนางหยาดฟ้าทราบดังนั้นจึงรีบเข้าเฝ้าพระธิดาหยาดฟ้า พระนางตกใจและรู้สึกแปลกประหลาดมาก
จึงให้นำท้าวจันทราชมาพบที่ปราสาทของพระนาง
และแล้วเมื่อทั้งคู่ได้พบกัน
ต่างก็ตกตะลึง เหมือนโลกหยุดหมุน
ทั้งสองพระองค์ต่างรู้สึกรักใคร่ผูกพันในกันและกันยิ่งนัก
พระธิดาหยาดฟ้าสวยงามต้องใจท้าวจันทราชยิ่งนัก พระองค์ไม่เคยเห็นใครที่งามเพียบพร้อมอย่างนี้มาก่อน
พระธิดาฟ้าหยาดก็ไม่เคยเห็นชายใด ที่จะสง่าถูกใจเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน
ทำให้พระนางนึกถึงความฝัน พระนางก็ยิ่งตื่นเต้นและหวั่นไหวพระทัยยากที่จะบรรยาย
ทั้งคู่มีความรักและความคุ้นเคยราวกับคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่ต้องการและเฝ้าติดตามหามาทั้งชีวิต
ทั้งคู่ทักทายปราศรัยกันถามไถ่ความเป็นมาของกันและกันตามมารยาท
ฝ่ายพญาจันทราชนั้นหลงรักพระนางจนไม่ยอมกลับเมือง พระองค์ได้ตั้งค่ายอยู่ใกล้ ๆ
อุทยาน แล้วตอนกลางคืนพระองค์ก็แอบขึ้นไปบนปราสาท เพื่อไปหานางผู้เป็นที่รัก
และแล้วทั้งสองพระองค์ก็ได้เป็นสามีภรรยาสมใจปรารถนาทั้งสองพระองค์อยู่ด้วยกันนานวัน
โดยปกปิดเป็นความลับ
และบริวารทั้งหลายของพระธิดาต่างก็เป็นใจให้ทั้งคู่สมหวังในรักที่รอคอย
และเมื่อนานวัน กลัวว่าความลับจะรั่วไหลและเกรงจะทำให้พระนางจะเดือดร้อน
ท้าวจันทราชจึงจำใจกลับบ้านเมืองเพื่อว่าราชการที่ละทิ้งมาหลายวัน
โดยสัญญาว่าจะส่งอำมาตย์ผู้ใหญ่มาสู่ขอพระนางไปเป็นมเหสี
ร่วมกันปกครองเมืองเชียงโสมกับพระองค์อย่างแน่นอน
แต่ความลับได้รั่วไหล
เพราะคนรับใช้พระนางคนหนึ่งแค้นเคืองด้วยนางแอบรักท้าวจันทราช
แต่ท้าวจันทราชไม่เหลียวมองจึงนำเรื่องของทั้งสองไปทูลให้พญาฟ้าแดดทรงทราบ
พระองค์ทรงกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟ
พอทราบว่ากษัตริย์หนุ่มจากเมืองเชียงโสมกล้าขัดพระราชโองการก็เดือดดาลยิ่งนัก
บังอาจกระทำหยามน้ำใจพระองค์เช่นนี้
เมื่อพญาจันทราชเดินทางกลับถึงเมืองเชียงโสมก็รีบมอบหมายให้อำมาตย์คู่ใจคือ
“ขุนเส็ง” และ “ขุนคาน” นำเครื่องราชบรรณาการมาสู่ขอนางฟ้าหยาดทันที